วันที่เรียกว่าเป็นวันดีๆวันหนึ่ง
รถเราวิ่งอยู่ในเมืองตามปรกติ เลนกลาง
แล้วอยู่ๆก็มีรถยนต์ที่มีหญิงสาวสี่คนโดยสารอยู่ วิ่งมาในเลนขวา เปิดไฟจะเข้าเลนซ้าย
พอเห็น รถเราก็ชะลอ/หยุด ให้รถพวกเธอได้เข้ามาด้านหน้า เลนเรา
แต่ก่อนที่เธอจะเข้ามา หญิงสาวที่อยู่เบาะหลังด้านซ้าย
ลดกระจกลงมา โชว์หน้า และตะโกนด่าคันเรา
พอรถของเธอ มาอยู่หน้ารถเราได้แล้ว
ก็ยังเปิดไฟต่อเพื่อเข้าเลนซ้ายสุด
เมื่อพวกเธอสามารถเข้าเลนซ้ายสุดได้
หญิงสาวคนที่เป็นคนขับ ก็ลดกระจกลงมา โชว์หน้า และตะโกนด่าคันเรา ก่อนที่จะเดินหน้าจากไป
.
นับเป็นไม่กี่ครั้ง ที่เราได้แปลกใจกับความโกรธที่ส่งมาจากคนอื่นตรงมาถึงเราขนาดนี้
ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย
นั่นคือประสบการณ์ตรงของตัวเอง
แต่เหตุการณ์เดียวกันนี้ ก็เชื่อว่า มันเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนบนท้องถนน
.
มันเป็นความคิดที่ผลิตออกมาจากหัวมาหลายปีแล้วล่ะ
เรื่องความโกรธเกลียดที่ไม่ต้องรู้จักกันนี่
เราเคยคิดนะว่า มันเป็นเพราะการที่ไม่รู้จักกันหรือเปล่า ทำให้ความโกรธเกลียด มันเกิดขึ้นได้ง่ายดายนัก
.
เราว่า คนจำนวนมาก ก็คงเคยมี หรือกำลังมี เพื่อนที่มีคนอื่นเกลียด หมั่นไส้
หรือแม้แต่ญาติพี่น้องของตัวเองก็เถอะ
แต่มันก็ไม่ได้เป็นเหตุผลในการเลิกคบ จนกว่าเขาจะมาทำความเดือดร้อนกับเราอย่างหนักหน่วงจริงๆ
เหตุการณ์ที่คนขับรถชนคนขับคนอื่นที่กีดขวางรถตัวเอง คงไม่เกิดขึ้น
ถ้าเขารู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน
เหตุการณ์ที่ขับรถปาดหน้ากัน แล้วลงมายิงกัน ก็ไม่น่าเกิดขึ้น
ถ้าเขารู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน
หรือไม่ต้องรู้จักกันทั้งสองฝ่ายก็ได้
ถ้าฝ่ายโกรธเป็นฝ่ายที่รู้จักฝ่ายที่โดนโกรธ เช่น เคยเห็นในทีวี เคยแอบอ่านบล็อกเขามา ฯลฯ
ก็ยังเชื่อว่า เหตุการณ์ทำร้ายกันทั้งทางวาจาและกายา มันจะน้อยลงมาก มาก มาก
แม้แต่หมาตัดหน้า ถ้ารู้จักหมาตัวนั้น ก็ยังไม่ค่อยอยากจะโกรธเลย
.
.
การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พูดจารู้เรื่อง ภาษาเดียวกันกับใคร
มันไม่ได้เป็นหลักประกันตามคอมมอนเซนส์ว่า คนๆนั้นจะเห็นเราว่าเป็นมนุษย์อีกคนหนึ่ง
โดยเฉพาะในเวลาที่เขากำลังรู้สึกไม่พอใจเราอยู่
และที่สำคัญ ในเวลาที่เขายังไม่เคยรู้จักเราเลย
การรู้จักกัน ก็เหมือนการสัมผัสถึงความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย
เหมือนเราใส่โปรแกรมในสมองส่วนปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติแล้วว่า
คนกันเอง มีอะไรค่อยพูดค่อยจา
แต่เราก็ไม่มีวันที่จะรู้จักใครทุกคนในสังคมได้หมด
วิธีแก้ปัญหานี้ ด้วยการไปตามไล่รู้จักคน จึงตกไป
จริงๆเรียกว่า ไม่มีวิธีที่จะไม่ให้คนอื่นโกรธเราบนท้องถนนเลยแหละ
เราขับมาดีๆ ไม่กวนประสาทใคร ขับอย่างระวัง ตรงเลน ไม่เปลี่ยนไปมาเป็นแท็กซี่
ก็ยังมีคนจิ้นสถานการณ์ และความคิดของเรา แล้วเอามาโกรธเราได้เป็นวรรคเป็นเวร
จึงได้แต่บอกตัวเองไปว่า อย่าไปโกรธใครขนาดนี้บนท้องถนนหรือที่ไหนๆเลย
เราไม่รู้หรอกว่า วันที่เราระบายอารมณ์โกรธออกไปอย่างไม่ทันนึก
อีกฝ่ายหนึ่งเขาจะโกรธกลับ แล้วทำอะไรกลับที่มันรุนแรงกว่าหรือเปล่า
จริงอยู่ เมื่อความซวยมาเยือน เราคงหนีมันไม่ได้
แต่อย่างน้อย ความซวยนั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากที่การกระทำที่เราทำในปัจจุบันมันวอนเอง
.
ในชีวิตเรา พบเจอคนที่ต้องเสียชีวิต หรือเสียอนาคต บนท้องถนน
ซึ่งจากความโกรธเกลียดที่ไม่น่าเกิดขึ้นมากมาย
ทั้งที่เป็นคนที่ถูกกระทำ และเป็นคนกระทำ
มันช่างเป็นที่น่าเสียดาย ที่ชีวิตที่สามารถใช้ให้มันคุ้มกว่านี้ กลับถูกทำลายลงด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
เพียงเพราะเราแค่ไม่รู้จักกัน
วันนี้ก็โดนคันหลังบีบแตรด่าเพราะให้คนแซงไป
จริง ๆ อยู่นี่แค่เหยียบคันเร่งช้าไปวิเดียวตอนไฟเขียวก็บีบแตรด่าไล่ถึงบรรพบุรุษแล้ว
เราก็ยังขับรถเหมือนเดิม ไม่รู้ดีรึเปล่า แต่ก็ไม่ได้เบียดเบียนใคร
ใครอยากจะโกรธ อยากจะบีบแตรก็บีบไป ไม่แคร์ 555
ชีวิตนี้เจอกันแค่ครั้งเดียว มัวแต่แคร์ก็โรคประสาทกินกันพอดี
เพราะต้องมาคอยรองรับอารมณ์คนเหล่านี้ตลอดเวลา
เขียนได้ดีครับ 🙂
แต่ผมมีอีกมุมนึงครับ คือคนที่เราไม่รู้จักกันแต่ต้องมีระยะเข้ามาใกล้กันบ้าง
เราจะมีความเกรงใจยิ่งกว่าคนที่เรารู้จักมานาน เพราะเราอาจไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร
จะมีอันตรายต่อตัวเองหรือไม่ครับ
อันนั้นก็จริงอีกเนาะ : -)
ถ้าตัดความโกรธออกไปได้ โลกเราคงมีความสุขขึ้นเยอะเลยโน๊ะ